“กรณ์ จาติกวณิช” อดีต รมว.คลัง ปล่อยนโยบายด้านเศรษฐกิจชุดแรก เตรียมนำคนติด “แบล็กลิสต์” กู้ด่วน แถลง 16 ม.ค. หนุนนโยบาย “ชาติพัฒนากล้า” ดันเข้าสู่กู้ในระบบ
วันที่ 15 มกราคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่พรรคชาติพัฒนากล้า ปล่อยนโยบายเศรษฐกิจชุดแรกออกมา โดยการเสนอยกเลิกแบล็กลิสต์ และให้ปล่อยกู้ด้วยเครดิตสกอร์แทนนั้น ล่าสุด ได้ออกไอเดียใช้ใบปลิวเงินกู้นอกระบบ แจกจ่ายให้กับประชาชน เพื่อสื่อให้เห็นถึงดอกเบี้ยมหาโหด และแนวทางที่ประชาชนจะเข้าสู่ระบบเงินกู้ในระบบได้ รัฐบาลต้องยกเลิกระบบสินเชื่อโดยใช้เกณฑ์แบล็กลิสต์บูโร และใช้ระบบเครดิตสกอร์จากดาต้าแทน
ด้านหน้าของใบปลิวจะเป็นข้อความที่เห็นจนชิน คือ เงินกู้ด่วน แต่เพิ่มเนื้อหา สำหรับคนติดแบล็กลิสต์ ส่วนด้านหลังเป็นรายละเอียดนโยบายว่า มีคนไทยติดแบล็กลิสต์กว่า 5.5 ล้านคน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิดมีคนติดเพิ่มขึ้นหลายล้าน บางคนติดเพราะส่งค่างวดช้าไปไม่กี่วัน บางคนใช้หนี้หมดแล้วแต่ก็ยังติดอยู่ ทำให้กู้ในระบบไม่ได้ เพื่อนำเงินมาหมุนหรือต่อยอดในการทำธุรกิจ สร้างความเดือดร้อนให้คนเป็นจำนวนมาก เพราะการกู้นอกระบบอย่างที่รู้กันว่าเจอดอกเบี้ยโหดแค่ไหน เงินที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยทั้งนั้น ยากที่จะลดต้นได้
พรรคชาติพัฒนากล้า จึงเสนอนโยบาย ยกเลิกแบล็กลิสต์แล้วใช้ระบบ Credit Score แทน ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ข้อมูลในการชำระหนี้ประจำวันต่างๆ มาเป็นเกณฑ์ตัดสิน เช่น ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์มือถือ ใครมีประวัติดีก็ได้เครดิตดี สามารถกู้ได้มาก ใครเครดิตไม่ดีก็กู้ได้น้อย ซึ่งเป็นระบบที่ทันสมัยและตอบโจทย์มากกว่าการติดแบล็กลิสต์ ซึ่งใครที่ติดแล้วเหมือนตกเหว ยากที่จะขึ้นมาลืมตาอ้าปากได้
นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรมว.คลัง สมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่า นี่เป็นนโยบายแรกที่ออกมาเพื่อช่วยเหลือด้านการเงินให้ประชาชนคนไทย โดยนโยบายจะทยอยออกมาทีละเรื่อง เพื่อให้คนไทยมี งานดี มีเงิน ของไม่แพง ซึ่งเป็นหัวใจของทุกเรื่อง เงินในกระเป๋าเขาต้องมีก่อน เรื่องอื่น ๆ ถึงจะตามมาได้ พรรคชาติพัฒนากล้าให้ความสำคัญกับตรงนี้ที่สุด ในทุกกลุ่มของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน คนทำงาน พ่อค้าแม่ค้า SME หรือแม้แต่คนรุ่นใหม่ที่ต้องการโอกาสในการสร้างตัว
“ในวันที่16 ม.ค.นี้ เวลา 10.00 น. ผมจะนำคนที่ติดแบล็กลิสต์ มาร่วมแชร์ประสบการณ์ด้วยว่า การติดแบล็กลิสต์ มันเหมือนตกนรกทั้งเป็นอย่างไร ซึ่งจะเป็นการสะท้อนว่าคนอีก 5.5 ล้านคน ต้องตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ถึงเวลาแล้วครับที่ การแก้ปัญหาต้องเปลี่ยนวิธี และรัฐบาลจะต้องกล้าที่จะทำ” นายกรณ์ กล่าว