โดนซื้อแล้ว3-4แห่ง! “กนก” ชี้ ปัญหาทุนจีนซื้อ”มหาลัย” อยู่ระหว่าง เจรจาอีกนับ 10

“กนก วงษ์ตระหง่าน” อดีต สส.ปชป. และ ศาสตราจารย์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เผย ทุนจีนรุกคืบครอบครองสถาบันอุดมศึกษา ชี้ มี มหาลัยไทยถูกซื้อไปแล้ว 3 แห่ง และ กำลังเจรจาอีกนับ10 จี้ อว.ต้องเข้มแข็ง ดูแลเข้มงวด

วันที่ 2 ม.ค. 2566 นายกนก วงษ์ตระหง่าน  อดีตส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และ ศาสตราจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ชี้ประเด็นมหาวิทยาลัยเอกชนไทยถูกทุนจีน ซื้อสำเร็จแล้ว 3 แห่ง อยู่ระหว่างเจรจาอีกนับ 10 ย้ำ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ต้องเข้มแข็ง ดูแลอย่างเข้มงวด ป้องกันการเอื้อประโยชน์ต่อชาติอื่น

กรณีกลุ่มทุนจีนเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย ที่ กำลังถูกตรวจสอบจากหลายฝ่ายในขณะนี้ นอกจากการลงทุนธุรกิจด้านท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์แล้ว มีข้อมูลปรากฏว่า มหาวิทยาลัยไทยหลายแห่งถูกชาวจีนเข้ามาลงทุนซื้อกิจการไปแล้วด้วยเช่นกันโดย เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายกนก วงษ์ตระหง่าน อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และศาสตราจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยกับสำนักข่าวอิศรา เกี่ยวกับกับกิจการมหาวิทยาลัยไทย ที่ถูกซื้อโดยนักธุรกิจชาวจีน ว่า ในปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยในไทยที่ถูกกลุ่มทุนจีนซื้อกิจการไปแล้ว 3 – 4 มหาวิทยาลัย ส่วนที่เป็นข่าวไป 10 กว่าแห่งนั้นอยู่ในช่วงการเจรจาการซื้อขาย

นายกนก กล่าวต่อว่า ในด้านกฎหมาย การที่จะเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัย จะต้องถือใบอนุญาตประกอบกิจการอุดมศึกษา หรือ ใบอนุญาตเปิดมหาวิทยาลัย โดยใบอนุญาตมี 2 ลักษณะ ได้แก่ 1. ถือโดยบุคคลธรรมดา ซึ่งในปัจจุบันมีน้อยมากที่จะใช้ลักษณะนี้ 2. ถือโดยนิติบุคคล ที่ต้องเป็นนิติบุคคลไทยเท่านั้น คือ คนไทยต้องมีหุ้นขั้นต่ำ 51%

ด้านการบริหารมหาวิทยาลัย หน่วยงานสูงสุดของมหาวิทยาลัย หรือ สภามหาวิทยาลัย จะต้องมีกรรมการครึ่งหนึ่งที่เป็นคนไทย ส่วนนายกสภา หรือ อธิการบดีสสามารถให้คนต่างชาติดำรงตำแหน่งได้ ส่วนด้านมาตรฐานการศึกษา เป็นสิ่งที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ต้องดำเนินการควบคุม และดูแลต่อข้อถามว่าการที่นักธุรกิจจีนซื้อกิจการมหาวิทยาลัยไทย จะเข้าข่ายการทำกิจการที่กินรวบ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” หรือไม่ นายกนกตอบว่า ในโครงสร้างทางกฎหมายทำไม่ได้ เพราะกฎหมายระบุว่า ผู้ถือหุ้นจะต้องเป็นคนไทยที่มีหุ้น 51% ขึ้นไป แต่ถ้าทำในพื้นที่ระหว่างข้อบัญญัติของกฎหมายและการกำกับควบคุมดูแลอ่อนแอ (ช่องว่างทางกฎหมาย) จะเกิดความเสี่ยงต่อการมีปัญหาได้ ดังนั้นหัวใจของอว. คือ ทำอย่างไรจะทำให้การกำกับมาตรฐาน กำกับการปฏิบัติตามกฎหมายให้เคร่งครัด เป็นโจทย์ที่ อว.ต้องดำเนินการ

นายกนกยังกล่าวถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นว่า มหาวิทยาลัยที่ถูกซื้อกิจการเป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนในวิชาสังคมศาสตร์ เป็นวิชาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏและมหาวิทยาลัยเอกชนอื่น ๆ ของไทยเปิดสอนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งปัญหาประชากรที่ลดลงส่งผลให้มีนักศึกษาน้อยตามไปด้วย ในระยะสั้นจะทำให้การแข่งขันแย่งนักศึกษาสูงขึ้น และจากปัญหานักศึกษาที่ลดลงก็จะส่งผลถึงจำนวนอาจารย์ที่สอนในวิชาเหล่านั้นลดลงด้วยเช่นกัน

“ในระยะยาว ผมคิดว่าไม่ได้เกิดผลกระทบทางลบเท่านั้น อาจเปลี่ยนให้เป็นบวกได้ โดยทำให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ทางการศึกษาของนักศึกษาในภูมิภาคนี้ เหมือนกับประเทศออสเตรเลียที่กลายเป็นสินค้าและบริการที่สำคัญของออสเตรเลียไป”….”ฉะนั้นถ้าประเทศไทยสามารถเปลี่ยนให้อุดมศึกษาเป็นสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของนักศึกษาในภูมิภาคนี้ จะทำให้นักศึกษามาเรียนในไทยมากขึ้น ทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์หลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเผยแพร่วัฒนธรรมไทย เป็นต้น ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับการวางยุทธศาสตร์ ท่าทีและการเตรียมการที่จะใช้โอกาสแบบนี้ให้เกิดประโยชน์ นี่เป็นประเด็นที่ท้าทายของการบริหาร อว.” นายกนก ระบุ