นับถอยหลังกันเต็มที่ อีกไม่เกินสี่เดือน คนไทยก็จะได้เลือกตั้งกัน ดังนั้น ก่อนสิ้นปีนี้ ถือเป็นจังหวะดี ที่จะได้ประเมินกันยกแรก กับวิสัยทัศน์ของ”บุคคล” ที่เป็นแคนดิเดทนายกฯ
หากนับเฉพาะพรรคที่เปิดตัวกันอย่างชัดเจน จนไม่น่าหลุดโผแล้วและถูกประเมินว่า “มีโอกาส” จะเข้ารอบท้าชิง วันนี้ก็เห็นจะมี ชื่อของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และล่าสุด “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประกาศตัวเป็นแคนดิเดทนายก ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)
ในขณะที่ทางพรรคเพื่อไทยยังไม่มีความชัดเจนว่า ใครจะเป็นแคนดิเดทฯ ประชาธิปัตย์ (ปชป.) ถูกประเมินว่าเสียงจะร่อยหรอ อีกทั้งสถานภาพ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรค ก็สั่นคลอนจ นถูกมองว่า ยากจะเป็นตัวเต็งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ส่วนพรรคก้าวไกล ที่มีหัวหน้าชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” นั้น แม้กระแสดีไม่มีตก แต่กลับถูกมองว่ามีโอกาสน้อยกว่าใคร ที่จะได้ร่วมรัฐบาล ด้วยความเกรงว่านโยบาย เกี่ยวกับสถาบันหลักของ พรรคอาจเป็นอุปสรรคในการประสานความร่วมมือทางการเมือง
ที่สำคัญ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชื่อของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กำลัง “มาแรง”
เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ลงพื้นที่พบปะประชาชน ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงวิสัยทัศน์ สำหรับประเทศไทยภายหลังการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
“อย่างที่ทราบกันว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่ไม่ค่อยมีกระแสวูบวาบให้ตื่นเต้น แต่ผมสัมผัสได้จากโพลในชีวิตจริง จากการพบปะกับพี่น้องประชาชนทั้งเวลาลงพื้นที่ และตามถนนหนทางร้านก๋วยเตี๋ยวที่ชอบไปแวะกินว่า มีคนแสดงออกอย่างเป็นมิตรและดีใจที่ได้เจอเรามากขึ้น มีคนมาขอถ่ายรูปมาขอบคุณ อวยพรฝากฝังชาติบ้านเมืองกับเรามากขึ้น สิ่งเหล่านี้แต่ก่อนไม่มี แล้วมามีมากในช่วงครึ่งปีหลังมานี้ เราก็เก็บมาเป็นกำลังใจในการทำงาน”
ส่วนเรื่องนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของพรรค นายอนุทิน กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า โชคดีที่พรรคภูมิใจไทยไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายใน มีความชัดเจนในตัวผู้นำที่จะเป็นแคนดิเดทนายก และเอกภาพภายในพรรคสูงมาก จึงมีความพร้อมในการทำนโยบายเร็ว และสื่อสารออกมาเป็นแพคเกจได้ทันทีที่มีความชัดเจนเกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้ง โดยนโยบายหลักๆที่ถือเป็นเรือธงของพรรค ได้แก่ นโยบายพักหนี้ “เกษตรร่ำรวย” “กรีนดี อยู่ดี” และ “ทำด้ามขวานไทย เป็นด้ามขวานทอง” ด้วยโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งล้วนแต่มีความเป็นรูปธรรมจับต้องได้ และสื่อสารง่าย
“พรรคเราได้ชื่อว่าเป็นพรรคปฏิบัติการ เราจึงทำทุกอย่างโดยเน้นความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ (practical) อะไรที่พูดแล้วสวยหรูแต่ทำไม่ได้เราไม่พูด พรรคเราต้องพูดแล้วทำ แต่ก่อนจะพูดแล้วทำได้ เราต้องประเมินว่ามีอะไรที่พอจะเป็นไปได้บ้าง แล้วผลักดันตรงนั้น”
นายอนุทินเล่าถึงนโยบายเกษตรร่ำรวย หรือ Contract Farming ที่จะเป็นทางเลือกให้ประชาชน ว่าหลักการคือจะต้องมีพันธะร่วมกันระหว่างรัฐกับเกษตรกร โดยเกษตรกรจะรู้ราคาพืชผลล่วงหน้า แต่หากมีความเสียหายจากความเสี่ยงใดๆที่เกิดขึ้นได้ในการทำไร่ทำนา รัฐก็รับภาระตรงนั้นให้
“เราต้องอย่าลืมว่าเกษตรกรรมสำหรับประเทศนี่ถือเป็นความมั่นคงทางอาหารด้วย เราจะปล่อยพี่น้องชาวไร่ชาวนาไปตามยถากรรมกับความไม่แน่นอนของฟ้าฝนไม่ได้ ถ้าวันหนึ่งเขาเลิกทำไร่ไถนา คนไทยจะขาดความมั่นคงทางอาหาร ต้องไปพึ่งพาต่างชาติ ในภาวะที่มีความไม่ราบรื่นระหว่างประเทศหรือในยามสงคราม เราก็จะลำบาก ดังนั้นต้องมีการสนับสนุน แต่วิธีไหนเคยทำมาในอดีตแล้วมีปัญหา เราก็ไม่ทำ พรรคภูมิใจไทยก็เลือกวิธีใหม่ที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าทำได้ ภาคเอกชนเขาก็ทำกัน”
นอกจากนี้หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยยังเล่าว่า แม้นโยบายทั้งหมดจะเป็นไปเพื่อปากท้องของประชาชนเป็นหลัก แต่ก็มีความเชื่อมโยงกับเรื่องที่เป็นวาระระดับนานาชาติด้วย เช่นนโยบาย “กรีนดี อยู่ดี” นั้น นายอนุทินขยายความว่า “คำว่า กรีน มาจากคำภาษาอังกฤษที่แปลว่าสีเขียว หมายถึงสิ่งแวดล้อม เราก็มีนโยบายในการช่วยลดมลภาวะและการใช้พลังงาน เช่นจะสนับสนุนการติดแผงโซล่าเซล เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์ ลดค่าไฟได้เดือนละ 450 บาท มีเหลือขายให้รัฐได้” นอกจากนี้ พรรคภูมิใจไทยยังสนับสนุนการใช้รถไฟฟ้า โดยเริ่มจากมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ที่จะขายในราคาถูกและผ่อนจ่ายรายเดือนได้เพียงเดือนละหนึ่งร้อยบาท และการปลูกต้นไม้แลกกับเงินจากคาร์บอนเครดิต ซึ่งจะตอบโจทย์ทั้งในการยกระดับคุณภาพชีวิตและประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
“จะเห็นว่าทุกนโยบายของเรามุ่งไปตอบโจทย์เรื่องเดียวกัน คือปากท้องของพี่น้องประชาชน ด้วยวิธีลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ หลักคิดง่ายๆแค่นี้ เพื่อให้คนไทยมีเงินเหลือในกระเป๋า ไม่ใช่ต้องชักหน้าไม่ถึงหลังกันตลอดเวลา เมื่อมีเงินเหลือในกระเป๋าแล้ว เขาก็ไม่ต้องมีความกังวล สามารถไปพัฒนาศักยภาพและกิจการของตนเองได้ดีขึ้น เพิ่มความมั่งคั่งให้ครอบครัวได้ ส่วนรัฐก็จะไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระดับชาติ เพื่อเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจอีกที”
พร้อมเสริมว่า แม้แต่นโยบายทางการสาธารณสุข อย่างการฟอกไตฟรี ให้มีเครื่องฉายรังสีรักษามะเร็งฟรีทุกจังหวัด ศูนย์ฟอกไตฟรีทุกอำเภอ ก็ล้วนแต่เป็นการลดภาระให้ประชาชน ทำให้ครอบครัวมีความเข้มแข็งพอจะไปทำมาหากินต่อได้
นายอนุทิน ฉายภาพในอนาคต กับวิสัยทัศน์ “ทำด้ามขวานไทย เป็นด้ามขวานทอง” ด้วยโครงการแลนด์บริดจ์ โดยมองว่าไทยซึ่งมีที่ตั้งอยู่กึ่งกลางอาเซียนนั้น ควรจะต้องมีระบบขนส่งที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเหมือน “หัวจ่าย” ที่สามารถกระจายสินค้าไปได้ทุกทิศ โดยไม่ต้องขุดคอคอดกระให้เป็นประเด็นเรื่องความมั่นคงกัน แต่ใช้ส่ิงที่เรียกว่า วันพอร์ต แลนด์บริดจ์ โดยเชื่อมฝั่งอันดามันกับฝั่งอ่าวไทย ซึ่งจะประหยัดเวลาขนส่งสินค้าได้ถึง 4 วัน จากที่เคยต้องแล่นเรืออ้อม ส่งผลให้สินค้าบางอย่างเสียหายได้
“เราต้องมองทุกอย่างเป็นองค์รวม อย่างที่ผ่านมาผมในฐานะรองนายกฯได้ดูแลกระทรวงที่มีส่วนกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจถึงสามกระทรวง คือ สาธารณสุข ท่องเที่ยว และคมนาคม เราเอาทุกอย่างมาเชื่อมกันหมด ทำอย่างไรให้ระบบสาธารณสุขเข้มแข็ง มีชื่อเสียงจนสร้างความมั่นใจกับนักท่องเที่ยวได้ ช่วงโควิดเราฉวยโอกาสในระหว่างที่มีการล็อคดาวน์ จัดการเดินหน้าโครงการต่างๆเพื่อยกระดับระบบคมนาคมให้ดีขึ้น เราจึงเป็นประเทศที่มีความพร้อมมากที่สุดประเทศหนึ่งในทันทีที่ประกาศเปิดประเทศและลดสถานะของโรคโควิด 19”
นายอนุทินย้ำว่า วิสัยทัศน์ในครั้งนี้ของเขาก็เช่นกัน ทุกนโยบายมีความเชื่อมโยงและไปบรรจบกันที่การยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ด้วยการลดภาระรายจ่าย สร้างช่องทางในการเพิ่มรายได้ แล้วต่อยอดด้วยการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับประเทศ
ต่อข้อถามถึงการต่อสู้ ทางการเมืองในศึกการเลือกตั้ง ที่กำลังจะมาถึง ว่าภูมิใจไทยมีแนวโน้มจะจับมือกับพรรคใดเป็นพิเศษบ้างหรือไม่ ในการจัดตั้งรัฐบาล ในฐานะที่ถูกมองว่าเป็นพรรคที่ไร้ขั้ว ไม่แบ่งฝั่งฝ่าย หรือ เป็นปัจจัยแห่งความขัดแย้ง นายอนุทิน ตอบว่า “อย่างที่บอกไปแล้ว ราชสีห์ของหนู คือประชาชน หนูตัวนี้จะไปอยู่ตรงไหนก็ได้ ตราบใดที่เอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง”
พร้อมทิ้งท้ายว่า สิ่งที่อยากเห็นในการเมืองไทยหลังเลือกตั้งรอบนี้คือ “การสลายขั้ว” ประเทศไทยจะได้เดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น ดังตัวอย่างจากพรรคภูมิใจไทย ที่เมื่อไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายใน ก็สามารถจะโฟกัสกับการขับเคลื่อนเพื่อผลักดันนโยบายต่างๆได้
หากไร้ซึ่งเอกภาพภายใน ก็คงไม่สามารถเป็นพรรคที่เติบโตมั่นคงมาได้อย่างทุกวันนี้ !!!