รมว.เกษตรและสหกรณ์ เดินหน้าพัฒนาประจวบคีรีขันธ์ ตั้งเป้าให้เป็น ”มหานครสับปะรดของโลก”หลังไทยยืนหนึ่งแชมป์โลกส่งออกสับปะรด พร้อมจัดทำแผน ระยะยาว 5ปี เพิ่มศักยภาพ การแปรรูป และ การตลาด
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์และ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เป็นประธานเปิดงาน และ บรรยายในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 38 ของ สหกรณ์ชาวไร่สับปะรดสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมี นายมนตรี ปาน้อยนนท์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ. นายอำเภอสามร้อยยอด สหกรณ์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนราชการต่างๆ นายชาญชัย ธนะกมลประดิษฐ์ ประธาน และ คณะกรรมการอำนวยการสหกรณ์ และ สมาชิกให้การต้อนรับนายอลงกรณ์ กล่าวบรรยายว่า สถานการณ์การเพาะปลูกและผลผลิตสับปะรดในปี 2565 มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 457,255 ไร่ คิดเป็นปริมาณผลผลิต 1.772 ล้านตัน โดยแหล่งผลิตสำคัญ ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี เพชรบุรี พิษณุโลก และ ระยอง ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก3ปี ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.39 ร้อยละ 2.68 และ ร้อยละ 2.27 ตามลำดับ ทางด้านราคาตั้งแต่ปี 2563 ถึงต้นปี 2564 ราคาอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้เกษตรกรรายใหม่ขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น โดย ศักยภาพของประเทศไทย ในฐานะประเทศผู้ส่งออกสับปะรดและผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋องเป็นอันดับ1ของโลกด้วยมูลค่า 2 หมื่นล้านบาทครองสัดส่วนตลาดโลก 32% ตามมาด้วยฟิลิปปินส์22%ซึ่งพื้นที่ปลูกสับปะรดมากที่สุดและมีโรงงานสับปะรดมากที่สุด คือ ประจวบคีรีขันธ์ จึงเป็นเสมือนมหานครสับปะรดของไทยและของโลก โดยการบริหารจัดการสับปะรดเชิง โครงสร้างและระบบ และการกำหนดแผนและเป้าหมายการเป็นมหานครสับปะรดของโลก ภายใต้ คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติที่มี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธาน ได้ปรับแผนเดิมเป็นแผนใหม่รับมือวิกฤติโควิด19 เรียกว่าแผนพัฒนาสับปะรดปี 2563-2565 พร้อมกับจัดทำแผนพัฒนาสับปะรด5ปี (2566-2570) เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตการแปรรูปและการตลาด
สำหรับการขับเคลื่อนสำคัญในปีหน้าคือการจัดตั้ง”มหานครสับปะรด Pineapple Metropolice”ที่ประจวบคีรีขันธ์ ครอบคลุมพื้นที่แหล่งผลิตหลักจังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี และการยกร่างกฎหมายการพัฒนาผลไม้เศรษฐกิจ(สับปะรด ทุเรียน ลำไย ฯลฯ) มีกองทุนพัฒนาผลไม้เป็นกลไกสำคัญเพื่อยกระดับรายได้ของชาวไร่สับปะรดและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมสับปะรดตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำกลางน้ำและปลายน้ำอย่างยั่งยืนด้วยแนวทางเกษตรมูลค่าสูง.