รมว.สาธารณสุข ปาฐกถา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น สมาชิก ” หอการค้าไทย-อิตาเลี่ยน” ชู ระบบบสาธารณสุขไทย และ แลนด์บริดจ์ สุดแข็งแกร่ง ขอนักลงทุนมั่นใจ เป็นโอกาสทองที่สำคัญ
วันที่ 29 พ.ย. 2565 ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้เดินทางมาร่วมปาฐกถาและพูดคุยกับสมาชิก “หอการค้าไทย-อิตาเลี่ยน” ในงาน Thai – Italian Business Summit ถึงโอกาสทางธุรกิจและความร่วมมือระหว่าง 2 ชาติ โดยมี นายเปาโล ดิโอนิซี (H.E. Mr. Paolo Dionisi) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย และนายมัตเตโอ เรนซี(Matteo Ranzi) สมาชิกวุฒิสภา อดีตนายกรัฐมนตรี สาธารณรัฐอิตาลี เข้าร่วมงาน
นายอนุทิน กล่าวในงานว่า นี่คือช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมในการหารือเรื่องการลงทุน เพื่อผลประโยชน์สุงสุดของทั้ง 2 ชาติ เพราะการคลี่คลายของวิกฤตโควิด 19 ซึ่งมาพร้อมกับโอกาสใหม่ๆสำหรับไทยและอิตาลี เรามีสิ่งที่เหมือนกันหลายอย่าง ทั้งความชื่นชอบในศิลปะ วัฒนธรรม เราต่างหลงไหล ในสุนทรีย์แห่งอาหาร สถาปัตยกรรมของไทย จำนวนมาก สร้างขึ้นโดยศิลปินและสถาปนิกชาวอิตาลีจากวิกฤตโรคระบาดที่ผ่านมา ประเทศไทยได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามีความสามารถในการฟื้นตัว ด้วยระบบสาธารณสุขที่แข็งแกร่ง และการมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ทำให้คนไทยได้เข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียม จากความท้าทายที่ผ่านมา เราได้ใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาระบบสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น และเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางสาธารณสุขเป็นลำดับที่ 5 ของโลก นี่คือพื้นฐานอันแข็งแกร่งของประเทศไทย ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราได้เห็นแล้วว่านักท่องเที่ยวได้กลับมายังประเทศไทย สถานการณ์ที่ผ่านมาได้เปิดโอกาสใหม่ๆให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ได้แก่การมีกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะยาวที่มาเพื่อทำงานทางไกล (Workation) ซึ่งประเทศไทยมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เราได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่เหมาะกับการมาพักอาศัยเพื่อทำงานและท่องเที่ยวไปด้วยมากที่สุด ได้แก่ การมีค่าครองชีพในระดับที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป มีระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการสื่อสารที่ดี อาหารเลิศรส ไปจนถึงการต้อนรับที่อบอุ่น นอกจากนี้ เรายังเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้วยปัจจัยความพร้อมทั้งหมดที่ประกอบกัน ประเทศไทย คือประเทศแห่งโอกาสด้านการค้า การลงทุน อย่างแท้จริง“ในเรื่องของการแพทย์ ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางทางสุขภาพ หรือ Health Hub ของโลก เรามิได้เพียงให้ความสำคัญกับการแพทย์สมัยใหม่ แต่เรายังให้ความสำคัญกับการแพทย์ทางเลือก การแพทย์องค์รวม และการผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพที่ประกอบด้วยศาสตร์และศิลป์และโลกตะวันตกและตะวันออก”
เมื่อถามถึงนโยบายกัญชา นายอนุทินกล่าวว่า สำหรับคนต่างชาติที่ไม่คุ้นเคย อาจรู้สึกแปลกใจกับนโยบายนี้ แต่สำหรับประเทศไทย กัญชาอยู่กับวิถีชาวบ้านและเป็นภูมิปัญญาของเรามานานหลายร้อยปี ในฐานะของสมุนไพรที่ปรากฏอยู่ในตำรับยาโบราณ เราเพียงแต่นำภูมิปัญญาดั้งเดิมกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ และเป็นการเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ และไม่ใช่เพียงแต่ประเทศไทยที่มองเห็นโอกาสจากกัญชา หลายประเทศก็กำลังขับเคลื่อนนโยบายกัญชาถูกกฎหมายอยู่ ดังนั้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากนโยบายนี้จะมีแต่เพิ่มขึ้นในปีต่อๆไป นี่คือวิสัยทัศน์ของเรา”
นอกจากนี้ นายอนุทิน ยังกล่าวถึงการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ของไทย ที่จะพลิกโฉมหน้าของการขนถ่ายสินค้าและพลังงานในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นโอกาสของการลงทุนที่หลากหลายสำหรับนักลงทุนชาวอิตาลีและทั่วโลกด้วย