“พาณิชย์” เผยช่วงปี 64-65 พบธุรกิจเข้าข่าย “นอมินี” ต่างชาติ 148 ราย

“สินิตย์ เลิศไกร” เข้ม! สั่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตรวจสอบการจดทะเบียนนิติบุคคล ทั้งก่อนและหลัง ป้องกันการทำธุรกิจในลักษณะนอมินี เผยตรวจสอบช่วงปี 64-65 พบแล้ว 148 ราย จาก 3 กลุ่มธุรกิจ ท่องเที่ยว ค้าที่ดิน บริการ เตือนคนไทยให้ความร่วมมือมีโทษจำคุก 3 ปี ปรับสูงสุด 1 ล้านบาท

วันที่ 23 พ.ย.2565 นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กำหนดแนวทางการป้องปรามธุรกิจที่มีลักษณะการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว (นอมินี) ทั้งก่อนและหลังการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล โดยก่อนจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคล กำหนดให้ส่งเอกสารที่ธนาคารออกให้เพื่อรับรองหรือแสดงฐานะการเงินของผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นคนไทยที่ลงทุนหรือถือหุ้นในนิติบุคคลร่วมกับคนต่างด้าว เพื่อแสดงความน่าเชื่อถือว่าคนไทยที่ร่วมลงทุนมีฐานะทางการเงินที่สามารถลงทุนเองได้ และภายหลังจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ให้จัดทำข้อมูลนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยง และกำหนดเป็นแผนงานโครงการประจำปี เพื่อดำเนินการตรวจสอบเชิงลึก โดยบางกรณีอาจมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ตำรวจท่องเที่ยว กรมการท่องเที่ยว เป็นต้น

“การกระทำความผิดเกี่ยวกับการเป็นนอมินี ส่วนใหญ่เกิดจากการที่มีคนไทยยอมรับผลประโยชน์ หรือสมยอม หรือที่ปรึกษากฎหมายแนะนำให้หลีกเลี่ยงกฎหมาย ทำให้นอมินีเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศในวงกว้าง หากไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ จะทำให้ไทยเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและสูญเสียรายได้เป็นอย่างมาก”

นายสินิตย์กล่าวว่า สำหรับการตรวจสอบนอมินีที่ผ่านมา กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ดำเนินการตรวจสอบคนไทยที่ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว หรือมีการสนับสนุนให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 โดยได้พิจารณาลักษณะพฤติกรรมและข้อบ่งชี้หลายด้าน เช่น ธุรกิจที่มีคนต่างด้าวลงทุนหรือถือหุ้นไม่ถึง 50% แต่ให้คนต่างด้าวเป็นผู้มีอำนาจกระทำการ หรือให้สิทธิการออกเสียงลงคะแนน การจ่ายเงินปันผล การแบ่งคืนทุนเมื่อเลิกกิจการแก่คนต่างด้าวมากกว่าคนไทย และตรวจถึงแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในการประกอบธุรกิจเป็นการกู้ยืมจากคนต่างด้าว หรือมีการกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงินแก่คนต่างด้าว โดยมีเงื่อนไขที่ผิดปกติในทางการค้าหรือทางธุรกิจการเงินทั่วไป เป็นต้น

ทั้งนี้ ในช่วงปี 2564-2565 กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ตรวจสอบนิติบุคคลไทยที่มีคนต่างด้าวร่วมถือหุ้นที่อาจมีลักษณะนอมินี โดยมีเป้าหมาย 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.ธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องกับท่องเที่ยว 2.ธุรกิจค้าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ การถือครองอสังหาริมทรัพย์ และ 3.ธุรกิจบริการ โดยพบนิติบุคคลที่อาจกระทำผิดในลักษณะนอมินี จำนวนทั้งสิ้น 148 ราย แยกเป็น จ.ภูเก็ต 140 ราย จ.เชียงใหม่ 4 ราย จ.สุราษฎร์ธานี 3 ราย และกรุงเทพฯ 1 ราย โดยตรวจพบกรณีบุคคลมีชื่อเป็นผู้ถือครองหุ้นในหลายบริษัท ซึ่งเมื่อประเมินความสามารถในการถือหุ้นหรือการลงทุนของผู้ถือหุ้นดังกล่าวแล้วเป็นที่น่าสงสัยว่าอาจมีการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว

“ได้นำส่งข้อมูลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ทำการสืบสวนสอบสวนในเชิงลึกแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการสืบสวนการกระทำความผิดกลุ่มบุคคลดังกล่าว และยังพบอีกกลุ่มหนึ่งที่มีพฤติกรรมอันน่าสงสัยว่ามีคนไทยให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจกับคนต่างด้าว หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมและสรุปผลก่อนส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป”นายสินิตย์กล่าว

นายสินิตย์กล่าวว่า ในปี 2566 ได้ขอให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะกำกับดูแลและตรวจสอบธุรกิจที่มีลักษณะนอมินีอย่างต่อเนื่อง และให้ตรวจสอบธุรกิจที่ปัจจุบันเป็นข่าวพบกลุ่มชาวต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย โดยอาศัยนอมินีคนไทยเพิ่มเติมด้วย ซึ่งนอกจากจะมีการตรวจสอบการกระทำผิดกฎหมายแล้ว ยังจะเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเพื่อให้นิติบุคคลต่างด้าวมีความเข้าใจพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ระเบียบขั้นตอนแนวทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว สาระสำคัญของกฎหมาย ธุรกิจที่ห้ามคนต่างด้าวประกอบธุรกิจ ตลอดจนโทษที่จะได้รับ หากมีการฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และกำกับดูแลให้ธุรกิจมีธรรมาภิบาลปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย

“ขอเตือนคนไทยที่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว เพื่อให้คนต่างด้าวสามารถประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนกฎหมาย คนไทยที่ถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในลักษณะนอมินี รวมทั้ง กรรมการบริษัทก็ต้องรับผิดด้วย โดยมีความผิดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000-1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังมีโทษปรับรายวันอีกวันละ 10,000-50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน” นายสินิตย์ กล่าว